เยอรมนี (อังกฤษ :Germany ; เยอรมัน : Deutschland ดอยฺชลันฺท ) หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (อังกฤษ :Federal Republic of Germany ; เยอรมัน : Bundesrepublik Deutschland ) เป็นสหพันธ์สาธารณรัฐแบบรัฐสภา ในยุโรปกลาง มีรัฐองค์ประกอบ 16 รัฐ มีพื้นที่ 357,021 ตารางกิโลเมตร และมีภูมิอากาศตามฤดูกาลแบบอบอุ่นเป็นส่วนใหญ่ มีประชากรประมาณ 82 ล้านคน ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในสหภาพยุโรป ประเทศเยอรมนีเป็นจุดหมายการเข้าเมืองยอดนิยมอันดับสองในโลกรองจากสหรัฐ เมืองหลวงและมหานครใหญ่สุดของประเทศคือ กรุงเบอร์ลิน ขณะที่เขตเมืองขยายใหญ่สุด คือ รัวร์ โดยมีศูนย์กลางหลักดอร์ทมุนท์ และเอ็สเซิน นครหลักอื่นของประเทศ ได้แก่ ฮัมบวร์ค , มิวนิก , โคโลญ , แฟรงก์เฟิร์ต , ชตุทท์การ์ท , ดึสเซิลดอร์ฟ , ไลพ์ซิช , เบรเมิน , เดรสเดิน , ฮันโนเฟอร์ และเนือร์นแบร์ค
เยอรมนีมีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเชิงเสรีภาพและรัฐสวัสดิการ พรมแดนทางทิศเหนือติดทะเลเหนือ เดนมาร์ก และทะเลบอลติก ทิศตะวันออกติดโปแลนด์ และเช็กเกีย ทิศใต้ติดออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ ทิศตะวันตกติดฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ มีเมืองหลวงและเมืองใหญ่ของประเทศคือเบอร์ลิน เยอรมนีมีประชากรประมาณ 80 ล้านคนและเป็นประเทศที่มีความหนาแน่นประชากรสูงสุดแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นประเทศที่มีคนย้ายถิ่นมากที่สุดเป็นอันดับสามของโลก หลังจากที่สหรัฐเยอรมนีเป็นปลายทางการย้ายถิ่นที่สองได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก
ชนเผ่าดั้งเดิมหลายเผ่าเข้ามาตั้งรกรากและอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของเยอรมนีตั้งแต่สมัยโบราณ ภูมิภาคที่ชื่อเจอร์มาเนียได้รับการค้นพบก่อน ค.ศ. 100 และในศตวรรษที่ 10 ดินแดนของเยอรมนีกลายเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ในช่วงศตวรรษที่ 16 ภูมิภาคทางเหนือของเยอรมนีกลายเป็นศูนย์กลางของการปฏิรูปนิกายโปรเตสแตนต์ หลังจากสงครามนโปเลียน และการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ใน ค.ศ. 1806 สมาพันธรัฐเยอรมนีได้ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 1815 ต่อมาใน ค.ศ. 1871 เยอรมนีกลายเป็นรัฐชาติ เมื่อรัฐเยอรมันส่วนใหญ่รวมเป็นหนึ่งเดียวในจักรวรรดิเยอรมัน ที่ปกครองโดยปรัสเซีย หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และการปฏิวัติเยอรมัน ใน ค.ศ. 1918–1919 จักรวรรดิเยอรมันถูกแทนที่ด้วยสาธารณรัฐไวมาร์ และปกครองแบบกึ่งประธานาธิบดี การยึดอำนาจของนาซี ใน ค.ศ. 1933 นำไปสู่การก่อตั้งกลุ่มเผด็จการ ซึ่งเป็นชนวนไปสู่สงครามโลกครั้งที่สอง และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองในยุโรป และเป็นช่วงที่ฝ่ายสัมพันธมิตร เรืองอำนาจ เยอรมนีถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนได้แก่: สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (เยอรมนีตะวันตก ) และสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี (เยอรมนีตะวันออก ) สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรป และสหภาพยุโรป ในขณะที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมันเป็นรัฐคอมมิวนิสต์ กลุ่มตะวันออกและเป็นสมาชิกของสนธิสัญญาวอร์ซอ หลังจากการล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ การรวมชาติเยอรมัน ทำให้อดีตรัฐเยอรมนีตะวันออกเข้าร่วมสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ค.ศ. 1990 และได้กลายสภาพเป็นสาธารณรัฐที่มีรัฐสภาของรัฐบาลกลางซึ่งอยู่ภายใต้บริหารประเทศโดยนายกรัฐมนตรี นับแต่นั้นเป็นต้นมา
เยอรมนีเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งสหภาพยุโรปและยังก่อตั้งสหภาพการเงินกับสมาชิกในสหภาพยุโรปอีก 17 ประเทศ โดยใช้ชื่อว่ายูโรโซน เยอรมนีเป็นสมาชิกของกลุ่มองค์การสหประชาชาติ , องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ , เนโท , กลุ่ม 7 และกลุ่ม 20 เยอรมนีเป็นประเทศที่มีอิทธิพลต่อประเทศอื่น ๆ ในยุโรปและเป็นประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันระดับโลก โดยหากวัดจากผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) แบบปกติแล้ว เยอรมนีมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปและใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลก และในปี 2012 เยอรมนีได้รับการจัดอันดับเป็นประเทศที่มีการนำเข้าส่งออกมากที่สุดเป็นอันดับที่สามของโลก และมีดัชนีการพัฒนามนุษย์ในระดับสูง
เนื้อหา
การค้นพบโครงกระดูกฟันกรามเมาเออร์ 1 (Mauer 1) ได้ชี้ให้เห็นว่า มนุษย์มีการตั้งรกรากในบริเวณที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบันมาตั้งแต่ 600,000 ปีที่แล้ว เครื่องไม้เครื่องมือในการล่าสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกถูกค้นพบในเหมืองถ่านหินบริเวณเมืองเชินนิงเงิน ซึ่งได้ค้นพบทวนไม้โบราณสามเล่มที่ฝังอยู่ใต้ผืนดินมาเป็นเวลากว่า 380,000 ปี นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบฟอสซิลมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ "นีแอนเดอร์ทาล " เป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งคาดว่ามีอายุกว่า 40,000 ปี นอกจากนี้ยังมีการค้นพบหลักฐานของมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันในถ้ำของเทือกเขาแอลป์ชวาเบินใกล้กับเมืองอุล์ม และยังมีการค้นพบเครื่องเป่าที่ทำจากงาช้างแมมมอธ และกระดูกของนกอายุกว่า 42,000 ปี ถือเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่มีการค้นพบ นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบรูปสลัก "ไลออนแมน" ที่ตัวเป็นคนหัวเป็นสิงโตจากยุคน้ำแข็งเมื่อ 40,000 ปีก่อน ถือเป็นงานศิลปะอุปมาเลียนแบบกายมนุษย์ที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยมีการค้นพบ
กลุ่มชนเจอร์แมนิกและอาณาจักรแฟรงก์ (ยุคสัมฤทธิ์–ค.ศ. 843) คาดการณ์ว่ากลุ่มชนเจอร์แมนิก ตั้งแต่ยุคสัมฤทธิ์ ไปจนถึงยุคเหล็ก ก่อนการก่อตั้งกรุงโรม นั้น เดิมอยู่อาศัยบริเวณทางใต้ของสแกนดิเนเวีย ไปจนถึงตอนเหนือของเยอรมนี พวกเขาขยายอาณาเขตไปทางใต้ ตะวันตกและตะวันออก จนได้รู้จักและติดต่อกับชาวเคลต์ ในดินแดนกอล รวมไปถึงกลุ่มชนอิหร่าน , ชาวบอลติก, ชาวสลาฟ ซึ่งอาศัยอยู่ในยุโรปกลาง และยุโรปตะวันออก ต่อมา กรุงโรมภายใต้จักรพรรดิเอากุสตุส เริ่มการรุกรานดินแดนที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน และแผ่ขยายดินแดนครอบคลุมทั่วลุ่มแม่น้ำไรน์ และเทือกเขายูรัล ในค.ศ. 9 กองทหารโรมันสามกองนำโดยวาริอุสได้พ่ายแพ้ให้กับอาร์มินีอุส แห่งชนเผ่าเครุสค์ ต่อมาในค.ศ. 100 ในช่วงที่ตากิตุส เขียนหนังสือ Germania กลุ่มชนเผ่าเยอรมันก็ต่างได้ตั้งถิ่นฐานตลอดแม่น้ำไรน์ และแม่น้ำดานูบ และเข้าครอบครองดินแดนเกือบทั้งหมดในส่วนที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน
ในศตวรรษที่ 3 ได้มีการเกิดขึ้นของเผ่าเยอรมันขนาดใหญ่หลายเผ่าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นชนอลามันน์ (Alemanni), ชาวแฟรงก์ (Franks), ชาวชัตต์ (Chatti), ชาวแซกซอน (Saxons), ชาวซีกัม (Sicambri), และชาวเทือริง (Thuringii) ราวค.ศ. 260 พวกชนเผ่าเยอรมันเหล่านี้ก็รุกเข้าไปในดินแดนในความควบคุมของโรมัน ภายหลังการรุกรานของชาวฮัน ในปี ค.ศ. 375 และการเสื่อมอำนาจของโรมันตั้งแต่ปี ค.ศ. 395 เป็นต้นไป พวกชนเผ่าเยอรมันก็ยิ่งรุกไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ชนเผ่าเยอรมันขนาดใหญ่เหล่านี้เข้าครอบงำชนเผ่าเยอรมันขนาดเล็กต่าง ๆ เกิดเป็นดินแดนของชนเผ่าเยอรมันในบริเวณที่เป็นประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน
อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออกและจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (ค.ศ. 843–1815) อาณาจักรแฟรงก์และการขยายดินแดน และถูกแบ่งออกเป็นสามอาณาจักรในปี 843
ในค.ศ. 800 ชาร์เลอมาญ กษัตริย์แห่งชาวแฟรงก์ ได้ปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งชาวโรมัน และสถาปนาจักรวรรดิการอแล็งเฌียง ต่อมาในปีค.ศ. 840 ได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นจากการแย่งชิงบัลลังก์ในหมู่พระโอรสของจักรพรรดิหลุยส์ผู้ศรัทธา สงครามกลางเมืองครั้งนี้จบลงในปี 843 โดยการแบ่งจักรวรรดิการอแล็งเฌียงออกเป็นสามอาณาจักรอันได้แก่:
อาณาจักรแฟรงก์ตะวันออกแผ่ขยายดินแดนอย่างมากมายครอบคลุมถึงอิตาลีในรัชสมัยพระเจ้าออทโทที่ 1 ในปีค.ศ. 962 พระองค์ก็ปราบดาตนขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งชาวโรมันตามแบบอย่างชาร์เลอมาญ และสถาปนาราชวงศ์ออทโท ถือเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งในศตวรรษที่ 18 จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ภายใต้ราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค มีดินแดนในอาณัติกว่า 1,800 แห่งทั่วยุโรป
การผงาดของปรัสเซีย เดิมที ราชอาณาจักรปรัสเซียเป็นดินแดนหนึ่งในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และยอมรับนับถือจักรพรรดิในกรุงเวียนนาเป็นเจ้าเหนือหัว อย่างไรก็ตาม ปรัสเซียเริ่มแตกหักกับราชวงศ์ฮาพส์บวร์คเมื่อจักรพรรดิคาร์ลที่ 6 เสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 1740 ทายาทของจักรพรรดิคาร์ลมีเพียงพระราชธิดาเท่านั้น พระเจ้าฟรีดริชที่ 2 แห่งปรัสเซีย ทรงคัดค้านการให้สตรีครองบัลลังก์จักรวรรดิมาตลอด พระเจ้าฟรีดริชที่ 2 ทรงเปิดฉากรุกรานดินแดนไซลีเซีย ของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค เกิดเป็นสงครามไซลีเซียครั้งที่หนึ่ง และบานปลายเป็นสงครามสืบราชบัลลังก์ออสเตรีย ที่มีอังกฤษและสเปนเข้ามาร่วมอยู่ฝ่ายเดียวกับปรัสเซีย สงครามครั้งนี้จบลงด้วยความเสียเปรียบของฮาพส์บวร์ค ราชสำนักกรุงเวียนนาต้องสูญเสียดินแดนจำนวนมากแก่ปรัสเซียและพันธมิตร ราชสำนักกรุงเบอร์ลินแห่งปรัสเซียได้ผงาดบารมีขึ้นมาเป็นขั้วอำนาจใหม่ในจักรวรรดิเทียบเคียงราชสำนักกรุงเวียนนา แม้ว่าโดยนิตินัยแล้ว ปรัสเซียจะยังคงถือเป็นดินแดนหนึ่งในจักรวรรดิภายใต้ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คก็ตาม
สมาพันธรัฐเยอรมันและจักรวรรดิเยอรมัน (ค.ศ. 1815–1918) จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ต้องสูญเสียดินแดนมากมายแก่ฝรั่งเศสในช่วงสงครามนโปเลียน ทำให้ในปีค.ศ. 1806 จักรพรรดิฟรันซ์ที่ 2 ทรงประกาศยุบจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และสถาปนาจักรวรรดิออสเตรีย ขึ้นมาแทน เมื่อนโปเลียน ถูกโค่นล้มและถูกเนรเทศไปเกาะเอลบา ในปี 1814 ได้มีการจัดการประชุมใหญ่แห่งเวียนนา ขึ้นเพื่อจัดระเบียบทวีปยุโรปเสียใหม่ ราชอาณาจักรปรัสเซียและจักรวรรดิออสเตรียได้ร่วมมือกันให้มีการรวมกลุ่มอย่างหลวม ๆ ของรัฐเยอรมันทั้งหลาย จัดตั้งขึ้นเป็น "สมาพันธรัฐเยอรมัน " เพื่อรวมความเป็นรัฐชาติและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาวเยอรมันอีกครั้ง แม้ปรัสเซียจะพยายามผลักดันให้พระเจ้าฟรีดริช วิลเฮล์มที่ 3 แห่งปรัสเซีย ดำรงตำแหน่งองค์ประธานสมาพันธรัฐเยอรมันแต่ก็ไม่เป็นผล รัฐสมาชิก 39 แห่งกลับลงมติยอมรับนับถือจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 1 แห่งออสเตรีย เป็นองค์ประธานสมาพันธรัฐเยอรมัน
ในปี 1864 ความขัดแย้งระหว่างออสเตรียกับปรัสเซียขึ้นอีกครั้ง และบานปลายเป็นสงครามออสเตรีย-ปรัสเซีย หรือที่เรียกว่า "สงครามพี่น้อง" สงครามครั้งนี้จบลงด้วยชัยชนะอย่างงดงามของปรัสเซีย ออสเตรียสูญเสียอิทธิพลเหนือรัฐเยอรมันตอนใต้ทั้งหมดและจำยอมยุบสมาพันธรัฐเยอรมันในวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 1866 และนำไปสู่การสถาปนา "สมาพันธรัฐเยอรมันเหนือ " ที่มีกษัตริย์แห่งปรัสเซียเป็นองค์ประธาน และภายหลังปรัสเซียมีชัยในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ในปี 1871 รัฐสภาแห่งสมาพันธรัฐเยอรมันเหนือได้มีมติให้เปลี่ยนชื่อสมาพันธรัฐเป็นจักรวรรดิ และมีมติให้พระเจ้าวิลเฮล์มที่ 1 แห่งปรัสเซีย ดำรงตำแหน่งเป็นจักรพรรดิเยอรมัน ถือเป็นการสถาปนาจักรวรรดิเยอรมัน อย่างเป็นทางการ
จักรวรรดิเยอรมันมีพัฒนาการด้านอุตสาหกรรมอย่างก้าวกระโดด มีกองทัพบกที่ทรงแสนยานุภาพที่สุดในโลก และมีกองทัพเรือที่ทรงแสนยานุภาพเป็นลำดับสองรองจากราชนาวีอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ความปราชัยในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ทำให้เกิดยุคข้าวยากหมากแพงจนจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 สละราชสมบัติและลี้ภัยการเมืองในปี 1918 เยอรมนีเปลี่ยนไปใช้ระบอบระบอบประชาธิปไตย แบบสาธารณรัฐภายใต้ประธานาธิบดี
สาธารณรัฐไวมาร์และไรช์ที่สาม (ค.ศ. 1919–1945) เมื่อระบอบจักรพรรดิล่มสลาย ได้มีการจัดประชุมสมัชชาแห่งชาติขึ้นที่เมืองไวมาร์และมีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ เป็นที่มาของชื่อลำลองว่า "สาธารณรัฐไวมาร์" ซึ่งตลอดช่วงเวลา 14 ปีของเยอรมนียุคสาธารณรัฐไวมาร์ ต้องเผชิญกับปัญหามากมาย ทั้งเศรษฐกิจตกต่ำ, อภิมหาเงินเฟ้อ, อัตราการว่างงานสูงลิบ, เผชิญหน้ากับการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์จากรัสเซีย, ถูกจำกัดจำนวนทหารและห้ามมีอาวุธยุทโธปกรณ์สมรรถนะสูงจากผลของสนธิสัญญาแวร์ซาย ความล่มจมของประเทศเช่นนี้ทำให้เกิดขบวนการชาตินิยมขึ้นมากมาย หนึ่งในนั้นคือพรรคกรรมกรเยอรมัน (DAP) ซึ่งมีอุดมการณ์แบบสุดโต่ง สิบตรีอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ซึ่งเข้ามาสอดแนมในพรรคแห่งนี้ประทับใจกับอุดมการณ์ของพรรคและตัดสินใจเข้าร่วมพรรค ฮิตเลอร์ใช้พรสวรรค์ด้านวาทศิลป์ของตนเองจนสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำพรรค ในปี 1920 ฮิตเลอร์เปลี่ยนชื่อพรรคแห่งนี้เป็น "พรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมัน " หรือที่รู้จักกันในชื่อ "พรรคนาซี"
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ในปี 1929 นั้นส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเยอรมนีมาก ผู้คนนับล้านในเยอรมันตกงาน ฮิตเลอร์ได้ใช้โอกาสนี้หาเสียงและกวาดคะแนนนิยม ในการเลือกตั้งทั่วไปเดือนพฤศจิกายน 1932 พรรคนาซีกลายเป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสภาไรชส์ทาค ครองที่นั่ง 230 ที่นั่งจากทั้งหมด 584 ที่นั่ง จะเห็นได้ว่าแม้นาซีจะเป็นพรรคใหญ่สุดแต่ก็ยังไม่ได้ครองเสียงข้างมาก จนกระทั่งเมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ไรชส์ทาค ขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 1933 โดยกล่าวหาว่าเป็นฝีมือของพวกคอมมิวนิสต์ นายกรัฐมนตรีฮิตเลอร์กดดันให้ประธานาธิบดีฮินเดินบวร์ค ลงนามในกฤษฎีกาเพลิงไหม้ไรชส์ทาค เพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน และหว่านล้อมให้สภาลงมติอนุมัติรัฐบัญญัติมอบอำนาจ ซึ่งทำให้ฮิตเลอร์กลายเป็น "ฟือเรอร์ " ผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จในเยอรมนีไปโดยปริยาย
เมื่อฮิตเลอร์ขึ้นเป็นผู้นำสูงสุด เขาได้ฉีกสนธิสัญญาแวร์ซายทิ้งและเร่งฟื้นฟูแสนยานุภาพของเยอรมัน เป็นการใหญ่ ฮิตเลอร์ประกาศลดภาษีรถยนต์เป็นศูนย์และเร่งรัดให้มีการสร้างทางหลวงเอาโทบาน ทั่วประเทศ ส่งผลให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของเยอรมันเติบโตอย่างมโหฬาร เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เยอรมนีได้ผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจอีกครั้งและกลายเป็นชาติที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าที่สุดในโลกในทุกด้าน ทั้งด้านวิศวกรรม อุตสาหกรรม การแพทย์ และการทหาร เทคโนโลยีหลายอย่างของโลกก็ถือกำเนิดขึ้นจากเยอรมนีในยุคนี้ อย่างไรก็ตามความรุ่งเรืองเหล่านี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขูดรีดแรงงานในค่ายกักกันที่มีอยู่มากมาย
สงครามโลกครั้งที่สอง แผนที่สงครามในทวีปยุโรป ค.ศ. 1942
ดินแดนในยึดครองของเยอรมัน
เขตอิทธิพล/รัฐหุ่นเชิดของเยอรมัน
สหภาพโซเวียต
สหราชอาณาจักรและอาณานิคม
ในปี 1938 หลังเยอรมนีผนวกบ้านพี่เมืองน้องอย่างออสเตรียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตน ในที่สุด ฮิตเลอร์ส่งกองทัพเข้ายึดประเทศออสเตรียและประเทศเชโกสโลวาเกียโดยไม่สนคำครหา กลิ่นของสงครามเข้าปกคลุมทั้งทวีปยุโรป สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสต้องการเลี่ยงสงครามจึงได้จัดการประชุมมิวนิก กับเยอรมนีในเดือนกันยายน เพื่อเป็นหลักประกันว่าเยอรมนีจะไม่รุกรานดินแดนใดไปมากกว่านี้และจะไม่ก่อสงคราม แต่ขณะเดียวกัน ต่างฝ่ายก็ต่างสั่งสมกำลังเพื่อเตรียมเข้าสู่สงคราม
ในปี 1939 การบุกยึดโปแลนด์ของเยอรมนี ได้จุดชนวนสงครามโลกครั้งที่สองขึ้น ตามด้วยการบุกครองประเทศอื่น ๆ ในยุโรปและยังทำกติกาสัญญาไตรภาคี เป็นพันธมิตรกับอิตาลีและญี่ปุ่น เขตอิทธิพลของนาซีเยอรมันได้แผ่ไพศาลที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติเยอรมันในปี 1942 ครอบคลุมส่วนใหญ่ของยุโรปภาคพื้นทวีป ในปี 1943 ฮิตเลอร์เปลี่ยนชื่อเรียกอย่างเป็นทางการของเยอรมนีจาก "ไรช์เยอรมัน " (Deutsches Reich ) เป็น "ไรช์เยอรมันใหญ่" (Großdeutsches Reich )
หลังความล้มเหลวในปฏิบัติการบาร์บารอสซา ที่สหภาพโซเวียต เยอรมันก็ถูกรุกกลับอย่างรวดเร็วจากทั้งสองด้าน เมื่อกองทัพแดง บุกถึงกรุงเบอร์ลินในเดือนเมษายน 1945 ฮิตเลอร์ปฏิเสธที่จะหนีออกจากกรุงเบอร์ลินและตัดสินใจยิงตัวตาย หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เยอรมนีก็ยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร
เยอรมนีตะวันออกและตะวันตก (ค.ศ. 1945–1990) หลังเยอรมนียอมจำนนแล้ว ฝ่ายสัมพันธมิตรก็ได้แบ่งกรุงเบอร์ลินและประเทศเยอรมนีออกเป็น 4 เขตในยึดครองทางทหาร เขตฝั่งตะวันตกซึ่งควบคุมโดยฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร และสหรัฐ ได้รวมกันและจัดตั้งขึ้นเป็นประเทศที่ชื่อว่า "สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี" เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1949 ส่วนเขตทางตะวันออกซึ่งอยู่ในควบคุมของสหภาพโซเวียตได้จัดตั้งขึ้นเป็นประเทศที่ชื่อว่า "สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี" เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1949 ทั้งสองประเทศนี้ถูกเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า "ประเทศเยอรมนีตะวันตก " มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงบ็อน และ "ประเทศเยอรมนีตะวันออก " มีเมืองหลวงอยู่ที่กรุงเบอร์ลินตะวันออก
เยอรมนีตะวันตกมีการปกครองในระบอบสาธารณรัฐภายใต้รัฐสภากลาง และใช้ระบบเศรษฐกิจการตลาดเพื่อสังคม (Social Market Economy) เยอรมนีตะวันตกรับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจำนวนมากตามแผนมาร์แชลล์ เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมของตน เศรษฐกิจของเยอรมนีตะวันตกฟื้นฟูอย่างรวดเร็วจนถูกเรียกว่า "ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ" (Economic miracle) เยอรมนีตะวันตกเข้าร่วมองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ในปี 1955 และเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (EEC) ในปี 1957
เยอรมนีตะวันออกเป็นรัฐในกลุ่มตะวันออก (Eastern Bloc) ซึ่งตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองและทางทหารของสหภาพโซเวียต และยังเป็นรัฐร่วมภาคีในกติกาสัญญาวอร์ซอ และแม้ว่าเยอรมนีตะวันออกจะอ้างว่าตนเองปกครองในระบอบประชาธิปไตย แต่อำนาจทางการเมืองการปกครองทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของโปลิตบูโร แห่งพรรคเอกภาพสังคมนิยมเยอรมนี (SED) ซึ่งมีหัวแบบคอมมิวนิสต์ นอกจากนี้ พรรคฯยังมีการหนุนหลังจาก "กระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐ "หรือที่เรียกว่า "ชตาซี " (Stasi) อันเป็นหน่วยงานรัฐขนาดใหญ่ที่ควบคุมเกือบทุกแง่มุมของสังคม เยอรมนีตะวันออกใช้ระบอบเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ อันเป็นระบบเศรษฐกิจที่ทุกอย่างถูกวางแผนโดยรัฐ
ชาวเยอรมันตะวันออกจำนวนมากพยายามข้ามไปยังเยอรมนีตะวันตกเพื่ออิสรภาพและชีวิตที่ดีกว่า ทำให้เยอรมนีตะวันออกตัดสินใจสร้างกำแพงเบอร์ลิน ขึ้นมาเพื่อป้องกันการลักลอบข้ามแดน กำแพงเบอร์ลินถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 1961 กำแพงแห่งนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของสงครามเย็น ระหว่างฝ่ายเสรีกับฝ่ายคอมมิวนิสต์. การพังทลายลงของกำแพงเบอร์ลินในปี 1989 ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ นำมาซึ่งการรวมประเทศเยอรมนี ในปีถัดมา ก่อนที่จะตามมาด้วยการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ในปีให้หลัง
แผนที่แสดงความสูงต่ำของประเทศ
เยอรมนีเป็นประเทศที่อยู่ตรงยุโรปกลางทำให้เรียกได้ว่าเป็นประเทศที่เป็นศูนย์กลางของทวีปยุโรป มีพรมแดนทางทิศเหนือติดทะเลเหนือ เดนมาร์ก และทะเลบอลติก ทิศตะวันออกติดโปแลนด์ และเช็กเกีย ทิศใต้ติดออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ ทิศตะวันตกติดฝรั่งเศส ลักเซมเบิร์ก เบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ และยังมีพรมแดนติดกับทะเลสาบโบเดิน ที่เป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับ3ในทวีปยุโรป
ประเทศเยอรมนีมีขนาด357,021 ตารางกิโลเมตรโดยแบ่งเป็นพื้นดิน349,223 ตารางกิโลเมตรและพื้นน้ำ7,798 ตารางกิโลเมตร เป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับ 7 ในทวีปยุโรป และใหญ่เป็นอันดับ 62 ของโลก และด้วยพรมแดนมีความยาวทั้งหมดรวม 3,757 กิโลเมตรมีประเทศเพื่อนบ้านถึง 9 ประเทศ ทำให้เยอรมนีเป็นประเทศที่มีประเทศเพื่อนบ้านมากที่สุดในทวีปยุโรป
เยอรมนีมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันไปจากทางตอนเหนือถึงทางตอนใต้ โดยมีทั้งที่ราบทางตอนเหนือและเทือกเขาทางตอนใต้ เยอรมนียังมีทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ ได้แก่ แร่เหล็ก, ถ่านหิน, โพแทช, ไม้, ลิกไนต์, ยูเรเนียม, ทองแดง, ก๊าซธรรมชาติ, เกลือ, นิกเกิล, พื้นที่เพาะปลูกและน้ำ
ภูมิอากาศ ประเทศเยอรมนีไม่มีฤดูแล้งและฤดูหนาวจะมีอากาศที่เย็นถึงหนาวจัดและฤดูร้อนจะมีความอบอุ่นโดยอุณหภูมิจะไม่เกิน 30 ° C
ความหลากหลายทางชีวภาพ ในปี 2008 อาณาเขตของประเทศเยอรมนีสามารถแบ่งสภาพพื้นดินได้โดยแบ่งเป็นพื้นที่ทำกิน (34%) ป่าไม้ (30.1%) ทุ่งหญ้าถาวร 11.8% พืชและสัตว์ในเยอรมนีส่วนใหญ่เป็นพืชและสัตว์ในยุโรปกลางโดยต้นไม้ส่วนใหญ่ก็จะเป็น เบิร์ช , โอ๊ก และต้นไม้ผลัดใบอื่น ๆ ที่พบตามพื้นก็จะเป็น มอสส์ , เฟิร์น , คอร์นฟลาวเวอร์ , เห็ดรา สัตว์ป่าก็จะเป็น กวาง , หมูป่า , แพะภูเขา , หมาจิ้งจอกแดง , แบดเจอร์ยุโรป ,กระต่ายป่า และอาจมีบีเวอร์ บริเวณชายแดนประเทศโปแลนด์ ด้วย :ซึ่งคอร์นฟลาวเวอร์ สีฟ้าเคยเป็นดอกไม้ประจำชาติด้วย
การรวมประเทศในปี 1990 นั้น เสมือนเป็นการผนวกประเทศเยอรมนีตะวันออกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเยอรมนีตะวันตก ดังนั้นระบบระเบียบการปกครองทั้งหมดในประเทศเยอรมนีใหม่นี้ จึงยึดเอาระบบระเบียบเดิมของเยอรมนีตะวันตกมาทั้งหมด กฎหมายสูงสุดหรือรัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมนีเรียกว่า กรุนด์เกเซ็ทท์ (Grundgesetz ) หรือแปลอย่างตรงตัวได้ว่า "กฎหมายพื้นฐาน" ถูกบัญญัติขึ้นในปี 1949 เพื่อใช้เป็นรัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมนีตะวันตก การแก้ไขกฎหมายฉบับนี้จำเป็นต้องได้รับเสียงอย่างน้อยสองในสามจากที่ประชุมร่วมสองสภาและ อย่างไรก็ตาม บทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐาน, การแยกใช้อำนาจ , โครงสร้างสหพันธ์ และสิทธิในการต่อต้านความพยายามล้มล้างมิอาจถูกแก้ไขได้
รัฐสมาชิกตามรัฐธรรมนูญ ประเทศเยอรมนีประกอบด้วยสิบหก รัฐ (เยอรมัน : Bundesland บุนเดสลันด์ ) ในจำนวนนี้ เบอร์ลิน และฮัมบวร์ค มีสถานะเป็นนครรัฐ (เยอรมัน : Stadtstaaten ชตัดท์ชตาเทิน ) ในขณะที่ เบรเมิน เป็นรัฐที่ประกอบด้วยสองนครรัฐคือเบรเมิน และเบรเมอร์ฮาเฟิน ในขณะที่อีกสิบสามรัฐที่เหลือ มีสถานะเป็นรัฐเฉพาะถิ่น (เยอรมัน : Flächenländer แฟลเชินแลนเดอร์ ) ทุกรัฐมีรัฐบาลท้องถิ่นเป็นของตนเอง สามารถตรากฎหมายและจัดเก็บภาษีเองตามกรอบของรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธ์ฯ
รัฐ เมืองหลวง พื้นที่ (กม2 ) ประชากร (2015) GDP ปี 2015 GDP ต่อหัวปี 2015 (สกุลเงิน: ยูโร) บาเดิน-เวือร์ทเทิมแบร์ค ชตุทท์การ์ท 35,752 10,879,618 461 42,800 บาวาเรีย มิวนิก 70,549 12,843,514 550 43,100 เบอร์ลิน เบอร์ลิน 892 3,520,031 125 35,700 บรันเดินบวร์ค พ็อทซ์ดัม 29,477 2,484,826 66 26,500 เบรเมิน เบรเมิน 404 671,489 32 47,600 ฮัมบวร์ค ฮัมบวร์ค 755 1,787,408 110 61,800 เฮ็สเซิน วีสบาเดิน 21,115 6,176,172 264 43,100 เมคเลินบวร์ค-ฟอร์พ็อมเมิร์น ชเวรีน 23,174 1,612,362 40 25,000 นีเดอร์ซัคเซิน ฮันโนเฟอร์ 47,618 7,926,599 259 32,900 นอร์ทไรน์-เว็สท์ฟาเลิน ดึสเซิลดอร์ฟ 34,043 17,865,516 646 36,500 ไรน์ลันท์-ฟัลทซ์ ไมนทซ์ 19,847 4,052,803 132 32,800 ซาร์ลันท์ ซาร์บรึคเคิน 2,569 995,597 35 35,400 ซัคเซิน เดรสเดิน 18,416 4,084,851 113 27,800 ซัคเซิน-อันฮัลท์ มัคเดอบวร์ค 20,445 2,245,470 57 25,200 ชเลสวิช-ฮ็อลชไตน์ คีล 15,763 2,858,714 86 31,200 ทือริงเงิน แอร์ฟวร์ท 16,172 2,170,714 57 26,400 ประเทศเยอรมนี เบอร์ลิน 357,376 82,175,684 3025 37,100
ฝ่ายบริหาร ตำแหน่งประธานาธิบดี (Bundespräsident) เป็นตำแหน่งประมุขแห่งรัฐ ได้รับเลือกจากที่ประชุมสหพันธ์ (Bundesversammlung) ซึ่งประกอบสมาชิกของ Bundestag และตัวแทนของแต่รัฐต่าง ๆ ในจำนวนเท่ากัน ประธานาธิบดีทำหน้าที่เป็นตัวแทนของสหพันธ์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันคือฟรังโก-วอลเตอร์ สไตน์ไมเออร์ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (เยอรมัน : Bundeskanzler ; อังกฤษ :Chancellor ) เป็นตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาล เป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร หัวหน้ารัฐบาลคนปัจจุบันคือ อังเกลา แมร์เคิล
กระทรวง ประเทศเยอรมนีมีกระทรวงอยู่ทั้งหมด 14 กระทรวง ได้แก่
กระทรวง ชื่อเยอรมัน อักษรย่อ 1 กระทรวงกลาโหม Bundesministerium der Verteidigung BMVg 2 กระทรวงยุติธรรมและการคุ้มครองผู้บริโภค Bundesministerium der Justiz und für Verbraucherschutz BMJV 3 กระทรวงการคลัง Bundesministerium der Finanzen BMF 4 กระทรวงมหาดไทย Bundesministerium des Innern BMI 5 สำนักงานการต่างประเทศ Auswärtiges Amt AA 6 กระทรวงเศรษฐกิจและพลังงาน Bundesministerium für Wirtschaft und Energie BMWi 7 กระทรวงแรงงานและกิจการสังคม Bundesministerium für Arbeit und Soziales BMAS 8 กระทรวงกิจการครอบครัว ผู้สูงอายุ สตรีและเยาวชน Bundesministerium für Familie, Senioren, Frauen und Jugend BMFSFJ 9 กระทรวงสิ่งแวดล้อม การอนุรักษ์ธรรมชาติ อาคารและความปลอดภัยของนิวเคลียร์ Bundesministerium für Umwelt, Naturschutz, Bau und Reaktorsicherheit BMUB 10 กระทรวงอาหารและการเกษตร Bundesministerium für Ernährung und Landwirtschaft BMEL 11 กระทรวงพัฒนาการและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ Bundesministerium für wirtschaftliche Zusammenarbeit und Entwicklung BMZ 12 กระทรวงสาธารณสุข Bundesministerium für Gesundheit BMG 13 กระทรวงการขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิตอล Bundesministerium für Verkehr und digitale Infrastruktur BMVI 14 กระทรวงศึกษาธิการและการวิจัย Bundesministerium für Bildung und Forschung BMBF
ฝ่ายนิติบัญญัติ อำนาจนิติบัญญัติเป็นของรัฐสภาซึ่งประกอบไปด้วย สภาผู้แทนราษฎร (Bundestag) ทำหน้าที่เป็นสภาล่าง สมาชิกสภามาจากการเลือกตั้งโดยตรง และคณะมนตรีสหพันธ์ (Bundesrat) เป็นสภาผู้แทนรัฐทั้งสิบหกของสหพันธ์ ทำหน้าที่เป็นสภาสูง
ระบบพรรคการเมืองของเยอรมนีมีเพียงสองพรรคการเมืองหลักคือพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน (CDU) และพรรคประชาธิปไตยสังคมแห่งเยอรมนี (SPD) โดยจนถึงปัจจุบันนายกรัฐมนตรีมาจากเพียงสองพรรคนี้ อย่างไรก็ตาม ก็มีพรรคที่เล็กกว่าซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างพรรคประชาธิปไตยเสรี (FDP) และกลุ่มพันธมิตร 90/กรีน (Bündnis 90/Die Grünen) ซึ่งมักเข้าเป็นพรรคร่วมรัฐบาลในรัฐบาลผสม
ฝ่ายตุลาการ ความสัมพันธ์กับสหภาพยุโรป ประเทศเยอรมนีกับประเทศฝรั่งเศส มีบทบาทเป็นผู้นำของสหภาพยุโรป และกำลังมุ่งหน้าสู่การรวมการเมืองการปกครองของแต่ละประเทศสมาชิก มาขึ้นกับสหภาพยุโรปมากขึ้น
หลังจากแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุคนาซีเยอรมนี เยอรมนีพยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการทหารของประเทศอื่นมากนัก พฤติกรรมนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงใน พ.ศ. 2542 เมื่อเยอรมนีตัดสินใจส่งทหารเข้าร่วมสงครามคอซอวอ เยอรมนีและฝรั่งเศสยังเป็นประเทศหลักที่คัดค้านการรุกรานประเทศอิรัก ของสหรัฐ ใน พ.ศ. 2546
ปัจจุบัน เยอรมนีกำลังพยายามเข้าเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เช่นเดียวกับ ญี่ปุ่น อินเดีย และบราซิล
ความสัมพันธ์กับประเทศไทย ในสมัยที่เยอรมนียังคงแยกเป็นรัฐเสรีหลายรัฐ ได้มีรัฐสำคัญอย่างปรัสเซีย ที่จัดตั้งจัดตั้งคณะทูตสันถวไมตรีแห่งปรัสเซียมายังสยาม โดยมีหัวหน้าคณะทูตคือ เคานท์ ซู ออยเลนบวร์ก พร้อมคณะ ซึ่งประกอบด้วยนักวิทยาศาสตร์ กับชาวเยอรมันผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ โดยเดินทางมาถึงสยาม ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2405 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
การเจรจาการค้าพระราชไมตรี ด้านการค้าและการเดินเรือระหว่างสองประเทศเริ่มขึ้นในวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2406 โดยมีเจ้าฟ้ากรมหลวงวงศาธิราชสนิท เป็นหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายไทย ซึ่งทางปรัสเซียไม่มีนโยบายล่าอาณานิคมในแถบเอเชียอาคเนย์ การเจรจาเสร็จสิ้นและลงนามสัญญา ณ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2406 โดยสัญญาระบุถึงการปฏิบัติไมตรีต่อกัน ต่อมาในปี พ.ศ. 2422 ได้มีการตั้งสถานทูตไทย ณ กรุงเบอร์ลิน และ พ.ศ. 2431 ได้มีการเลื่อนระดับสถานกงสุลเยอรมนีขึ้นเป็นสถานอัครราชทูตเยอรมนี ณ กรุงเทพมหานคร
บุนเดิสแวร์ (Bundeswehr ) คือชื่อเรียกกองทัพปัจจุบันของเยอรมนี แบ่งออกเป็นสามเหล่าคือ กองทัพบก (Heer) กองทัพเรือ (Marine) และกองทัพอากาศ (Luftwaffe) กองทัพเยอรมันมีงบประมาณมากเป็นอันดับเก้าของโลก ในปี 2015 งบประมาณทหารของเยอรมนีอยู่ที่ 32.9 พันล้านยูโรซึ่งคิดเป็น 1.2% ของ GDP ของประเทศ ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายของนาโต้ 2%
ในปี 2015 บุนเดิสแวร์มีกองกำลังทหารถึง 178,000 นายและมีทหารอาสาอีก 9,500 นาย และในปี2001 เยอรมนียังมีการส่งทหารออกไปปฏิบัติภารกิจนอกประเทศด้วยซึ่งเป็นทหารทั้งผู้หญิงและผู้ชาย โดยทหารผู้หญิงนั้นมีประมาณ 19,000 นายที่ประจำการอยู่ในกองทัพ และในปี 2014 ได้มีการอ้างอิงจากSIPRIว่าประเทศเยอรมนีมีการส่งทหารไปปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศมากเป็นอันดับ4ของโลก
แต่ถ้าหากไม่มีสงครามหรือการก่อการร้าย บุนเดิสแวร์จะได้รับคำสั่งจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้ปกป้องนายกรัฐมยตรีหรือบุคคลสำคัญ
เรือฟริเกตชั้นบรันเดินบวร์ค
บทบาทของบุนเดิสแวร์ได้มีการระบุไว้ในรัฐธรรมนูญเยอรมนีว่ามีเพื่อปกป้องและป้องกันประเทศเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญสหพันธ์ ได้วินิจฉัยบทบัญญัติดังกล่าวไว้ในปี 1994 ว่าการปกป้องในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่การปกป้องอาณาเขตและดินแดนของประเทศเยอรมนีเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงปฏิกิริยาหรือวิกฤติความขัดแย้งจากต่างประเทศหรือที่อื่น ๆ บนโลกที่อาจกว้างขึ้นจนอาจมีผลต่อความมั่นคงของประเทศเยอรมนีได้ ในเดือนมกราคมปี 2015 กองทัพเยอรมันมีกองกำลังประจำการอยู่ในต่างประเทศประมาณ 2,370 นาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังรักษาความสงบระหว่างประเทศรวมถึงกองกำลังของบุนเดิสแวร์เช่น ในกองทัพนาโต้ที่ปฏิบัติภารกิจในประเทศอิรัก , ประเทศอัฟกานิสถาน และประเทศอุซเบกิสถาน จำนวน 850 นาย และทหารเยอรมันในประเทศคอซอวอ 670 นาย และกองกำลังร่วมด้วย UNIFIL ในประเทศเลบานอน 120 นาย
จนในปี2011 การรับราชการทหารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ชายที่มีอายุ 18 ปีและมีหน้าที่รับราชการทหารเป็นเวลา 6 เดือน ส่วนผู้ที่ไม่อยากเป็นทหารสามารถเลือกเป็น Zivildienst (การบริการประชาชน) เป็นเวลา 6เดือนได้ หรืออาจเป็นทหารอาสา 6 ปี หรือการบริการฉุกเฉินเช่นแผนกดับเพลิงหรือกาชาด
รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ของประเทศเยอรมนี
ประเทศเยอรมนีมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เป็นอันดับสี่ของโลกถัดจากสหรัฐ จีน และญี่ปุ่น เยอรมนียังเป็นประเทศที่มีการส่งออกเป็นอันดับสามของโลก รองจากสหรัฐ และประเทศจีน ปัญหาทางเศรษฐกิจที่สำคัญคืออัตราการจ้างงาน
บริษัทในเยอรมันที่มีธุรกิจไปทั่วโลก อย่างเช่น เมอร์เซเดส-เบนซ์ บีเอ็มดับเบิ้ลยู ปอร์เช่ โฟล์กสวาเกน เอาดี้ มายบัค ซีเมนส์ อลิอันซ์ เป็นต้น มีตลาดหลักทรัพย์ในประเทศ 8 แห่งโดยมี ตลาดหลักทรัพย์แฟรงค์เฟิร์ต เป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุด และเป็นหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ตั้งแต่ประวัติของอุตสาหกรรมในประเทศเยอรมนีได้รับการควบคุมให้ผู้ริเริ่มและผู้รับผลประโยชน์ของเศรษฐกิจทั่วโลกมากกว่าที่เคย เยอรมนีเป็นผู้ส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของโลกในปี ค.ศ. 2002 ถึง ค.ศ. 2008 และได้ทำการค้าตลาดร่วมกับจีนในปี 2009 และปัจจุบันผู้ส่งออกใหญ่เป็นอันดับสองและสร้างดุลการค้าใหญ่ ภาคบริการในรอบ 70% ของ GDP รวมอุตสาหกรรม 29.1%, 0.9% และภาคการเกษตร ผลิตภัณฑ์ของประเทศเยอรมนีส่วนใหญ่อยู่ในด้านวิศวกรรมโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์
การท่องเที่ยว การคมนาคม และ โทรคมนาคม เส้นทางคมนาคม ถนน 650,000 กิโลเมตร ราง 41,315 กิโลเมตร ลำน้ำและชายฝั่ง 7,500 กิโลเมตร ท่าอากาศยาน 58 ท่า ทางรถไฟขนาดราง 1.435 เมตร ระยะทาง 41,315 กิโลเมตร ติดระบบรถไฟฟ้า 19,857 กิโลเมตร ผู้โดยสาร 19,500 ล้านเที่ยว สินค้า 415.4 ล้านตันต่อปี รถจักร 7,734 คัน รถ DMU (ดีเซลราง) และ EMU (รถไฟฟ้าราง) 15,762 คัน
โทรคมนาคม เยอรมนีเป็นศูนย์กลางการคมนาคมการขนส่งในทวีปยุโรปเนื่องจากตั้งอยู่ตรงกลางของทวีป เช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านในยุโรปตะวันตกเส้นทางและเครือข่ายถนนของเยอรมนีนั้นเรียกได้ว่าเป็นประเทศในกลุ่มที่มีเส้นทางคมนาคมที่หนาแน่นที่สุดในโลก มีมอเตอร์เวย์ออโตบาห์น ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลกและเป็นที่ทราบกันดีว่าถนนเส้นนี้ไม่มีการจำกัดความเร็ว
เยอรมนีได้มีการจัดตั้งเครือข่ายรถไฟความเร็วสูง ที่ชื่ออินเตอร์ซิตี-เอกซ์เพรส ซึ่งจะวิ่งผ่านเมืองสำคัญ ๆ ในเยอรมันและในประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ด้วยความเร็วประมาณ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทางรถไฟของเยอรมันได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลซึ่งมีเงินสนับสนุนมากถึง 17 พันล้านยูโรในปี 2014.
ท่าอากาศยานของประเทศเยอรมนีที่ใหญ่ที่สุด ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติแฟรงก์เฟิร์ต และท่าอากาศยานนานาชาติมิวนิก และมีสายการบินที่ใหญ่ที่สุดคือลุฟต์ฮันซา และยังมีสนามบินอื่น ๆ อีกด้วยเช่นท่าอากาศยานเบอร์ลินเชอเนอเฟ็ลท์ และท่าอากาศยานฮัมบวร์ค และยังมีท่าเรือฮัมบวร์ค ที่เป็นท่าเรือที่คอนเทนเนอร์ที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมนีและใหญ่เป็นอันดับ17ของโลก
วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ในปี ค.ศ. 1921.
เยอรมนีมีนักวิจัยที่โดดเด่นในสาขาวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ที่ได้รับรางวัลโนเบลถึง 103 รางวัล เช่น ผลงานของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และมักซ์ พลังค์ ถือเป็นรากฐานสำคัญของฟิสิกส์ยุคใหม่ และได้ถูกพัฒนาต่อมาโดยผลงานของแวร์เนอร์ ไฮเซินแบร์ค , แฮร์มัน ฟ็อน เฮ็ล์มฮ็อลทซ์ , โยเซฟ ฟอน เฟราน์โฮเฟอร์ , การีเอิล ดานีเอิล ฟาเรินไฮท์ และวิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกน ผู้ค้นพบรังสีเอกซ์ ความสำเร็จนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในปี 1901
นักวิศวกรรมการบินอวกาศชื่อ แวร์นแฮร์ ฟ็อน เบราน์ ผู้พัฒนาจรวดในยุคแรกและต่อมาเป็นสมาชิกสำคัญของนาซาและพัฒนาจรวด Saturn V Moon ซึ่งปูทางสำหรับความสำเร็จของโครงการอะพอลโล งานของ ไฮน์ริช แฮทซ์ ในด้านรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นความรู้ที่สำคัญในการพัฒนาโทรคมนาคมสมัยใหม่ ผ่านการก่อสร้างห้องปฏิบัติการแรกที่มหาวิทยาลัยซิกใน 1879 ของเขา, Wilhelm Wundt เป็นเครดิตกับสถานประกอบการของจิตวิทยาเป็นอิสระเชิงประจักษ์ วิทยาศาสตร์ อเล็คซันเดอร์ ฟ็อน ฮุมบ็อลท์ ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและ explorer เป็นพื้นฐานเพื่อชีวภูมิศาสตร์
การนำเข้าและส่งออกของเยอรมนีในปี 2553 จัดว่าอยู่ในทิศทางที่ดี มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการนำเข้า มีมูลค่ารวมมากกว่า 800,000 ล้านยูโร ส่วนการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 18% คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 950,000 ล้านยูโร โดยในจำนวนนี้ 95% ส่งออกไปยังตลาดยุโรป และกว่า 11% ส่งออกไปยังตลาดเอเชีย โดยเฉพาะจีน ซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 5.5%ของการส่งออกทั้งหมด นอกจากนี้ ในช่วงปี 2552-2553 อุตสาหกรรมยานยนต์ของเยอรมนีปรับตัวดีขึ้นมาก เนื่องจากการสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะจากจีน โดยในปี 2553 เยอรมนีส่งออกรถเพิ่มขึ้น 24% และการผลิตรถยนต์ในประเทศเพิ่มขึ้น 12%
การศึกษา ในปัจจุบันมีจำนวนนักเรียนนักศึกษา ทั้งหมด ประมาณ 12.6 ล้านคน ที่ประเทศมีครูอาจารย์ ทั้งหมด ประมาณ 780,000 คน ตามที่โรงเรียนสถานศึกษากว่า 52,000 แห่งในเยอรมัน การศึกษาภาคบังคับเริ่มตั้งแต่อายุ 6-18 ปี รวมการศึกษาภาคบังคับทั้งหมด 12 ปี ซึ่งนักเรียนจำเป็นต้องเรียนหลักสูตรภาคบังคับแบบเต็มเวลานี้อย่างน้อย 9 ปี (ในบางรัฐ 10 ปี) หลังจากนั้นนักเรียนสามารถเลือกเรียนหลักสูตรสายอาชีพหรือฝึกงาน ซึ่งเป็นการเรียนแบบไม่เต็มเวลาได้ โรงเรียนเอกชนในเยอรมันมีไม่กี่แห่งที่ดำเนินการโดยนักสอนศาสนา โรงเรียนส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนรัฐบาล เรียนฟรีไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน หนังสือและตำราเรียนมักมีให้นักเรียนยืมไม่ต้องซื้อ แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ของส่วนตัวก็จะให้ผู้ปกครองบริจาคเงินตามกำลังทรัพย์ที่มี
เมื่อนักเรียนมีอายุ 6 ปี จะเข้าเรียนชั้นประถมศึกษา เป็นเวลา 4 ปี หลังจากจบประถมศึกษาแล้วจึงศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษา แบ่งเป็น 4 ประเภทได้แก่: Secondary General School (Houptschule) เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ให้การศึกษาวิชาพื้นฐานทั่วไป วิชาที่สอน ได้แก่ ภาษาเยอรมัน คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ธรรมชาติ สังคมวิทยา ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) และวิชาแนะนำวิชาชีพ เวลาเรียน 6 ปี หลังจบนักเรียนจะได้รับใบประกาศนียบัตรเพื่อเป็นประตูสู่การศึกษาสายวิชาชีพ Intermediate School (Realschule) เป็นโรงเรียนที่อยู่ระหว่างโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ให้การศึกษาวิชาพื้นฐานทั่วไป (Secondary General School) กับโรงเรียนมัธยมศึกษาที่เน้นวิชาการ (Grammar School) หลักสูตรส่วนใหญ่จะเน้น วิชาพื้นฐานทั่วไป หลังจบหลักสูตร 6 ปี แล้วจะได้ประกาศนียบัตรเพื่อศึกษาต่อไปในระดับที่สูงขึ้น เช่น โรงเรียนอาชีวะ ที่ต้องเรียนเต็มเวลา ประมาณ 40% ของผู้จบโรงเรียนมัธยมจะได้ประกาศนียบัตรแบบนี้ Grammar School (Gymnasium) เป็นการศึกษาระดับมัธยมศึกษา 9 ปี เป็นการเรียนการสอนที่เน้นวิชาการ และเมื่อเรียนในระดับ เกรด 11-13 วิธีการเรียนจะแบ่งเป็นการเลือกกลุ่มวิชา (Course) ที่ถนัด เพื่อเน้นบางสาขาวิชาโดยเฉพาะ เพื่อเตรียมตัวเข้าเรียนมหาวิทยาลัยหลังจากจบเกรด 13 แล้ว Comprehensive School (Gesamtshule) เป็นการผสมผสานการเรียนการสอนของโรงเรียนมัธยมทั้ง 3 ประเภท เข้าด้วยกันภายใต้การบริหารหนึ่งเดียว นักเรียนเริ่มเรียนตั้งแต่เกรด 5-10 และจะเริ่มเรียนวิชาเฉพาะทาง ในระดับเกรด 7 บางกลุ่มวิชาจะมีการแบ่งการเรียนออกเป็นกว่า 11 ระดับ แล้วแต่ความยากง่าย
สาธารณสุข รัฐสวัสดิการ การประกันสังคมในประเทศเยอรมนี ถือเป็นแก่นสำคัญของระบบสังคมสงเคราะห์ ค.ศ 1883 มีการตรากฎหมาย เกี่ยวกับการประกันภัยความเจ็บป่วย ได้ ค.ศ 1884 มีกฎหมายประกันอุบัติเหตุ ค.ศ 1889 มีกฎหมายประกันทุพพลภาพและประกันผู้ชรา ทุกวันนี้ลูกจ้างจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ในกรณีการจ่ายเงินประกันบำนาญ ได้มาจากการบำรุงของนายจ้าง ลูกจ้างและรัฐช่วยออกสะสมส่วนหนึ่ง อัตราเงินบำนาญขึ้นอยู่กับเงินรายได้หรือขึ้นอยู่กับเบี้ยประกันที่ชำระไป ข้าราชการรวมทั้งผู้พิพากษาและทหารมืออาชีพรับเงินบำนาญ ตามที่กฎหมายข้ารัฐการของหน่วยงานตนกำหนด ในกรณีที่มีการเจ็บป่วย ลูกจ้างทุกคนมีสิทธิได้รับค่าแรงงานเต็มอัตราเป็นเวลา 6 สัปดาห์ หลังจากนั้นบริษัทประกันเจ็บป่วยจะจ่ายเงินค่าป่วยไข้ให้อีกทั้ง 72 สัปดาห์ บริษัทประกันเจ็บป่วยนี้ต้องรับภาระค่ารักษาโรคทั่วไป ค่ารักษาโรคฟัน ค่ายาและค่าโรงพยาบาล ในกรณีที่มีอุบัติเหตุเนื่องจากการทำงานนั้น และเกิดโรคภัยจากการทำงานอาชีพ ลูกจ้างจะได้รับเงินประกันอุบัติเหตุ นายจ้างจะเป็นผู้จ่ายเงินเบี้ยประกันอุบัติเหตุตามลำพังฝ่ายเดียว บำนาญที่จ่ายเนื่องจากอุบัติเหตุจนไม่สามารถประกอบอาชีพได้ ก็จะได้รับการจ่ายให้เป็นรายปี ซึ่งจะผกผันไปตามกฎหมายการพัฒนาค่าแรงงาน
นับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 1971 การประกันอุบัติเหตุตามกฎหมายได้ขยายรวมถึงนิสิต นักศึกษา นักเรียน และเด็ก ๆ ในโรงเรียนอนุบาล สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันเป็นประเทศแรกที่ประสบความสำเร็จในการจัดหลักประกันด้านสังคมและสุขภาพให้แก่ประชาชนด้วยระบบประกันสังคมหรือประกันภาคบังคับ ปรัชญาและหลักการพื้นฐานสำคัญของระบบการเมืองเยอรมันคือ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในสังคม (Solidarity) การกระจายอำนาจและบทบาทหน้าที่ระหว่างหน่วยงานรัฐ (ส่วนกลาง ภูมิภาค) และเอกชน (Subsidiarity) เป็นพื้นฐานการพัฒนาองค์กรทางสังคมจากล่างขึ้นบน กระจายอำนาจในการแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติให้กับหน่วยงานท้องถิ่นหรือภาคเอกชนในการดำเนินการ และแนวคิดหลักที่สามคือ การมีองค์กรร่วม (Corporatist organization) ที่จะมีตัวแทนทั้งสองประเภทคือทั้งจากตัวแทนวิชาชีพ และตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้ง ในระบบสุขภาพเองก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานดังกล่าว ระบบบริการสุขภาพของเยอรมันนั้น ภาครัฐมีบทบาทหลักในการสร้างกรอบกฎหมายในการควบคุมกำกับ ในขณะที่การดำเนินงานนั้นกระจายให้องค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหากำไรเป็นผู้ดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ว่าจะเป็นกองทุนการเจ็บป่วย และการจัดบริการ ทั้งนี้จะมีการกำกับกันและปฏิสัมพันธ์กันผ่านทางองค์กรที่เป็นตัวแทนของแต่ละกลุ่ม เช่น สมาคมกองทุนการเจ็บป่วย (Association of Sickness funds) สมาคมแพทย์ (Association of Panel Doctors) ฯลฯ
การปฏิรูปในเยอรมันนั้นมุ่งเน้นการให้ประโยชน์กับประชาชนและสังคมโดยรวมเป็นที่ตั้ง การกำหนดให้มีกฎหมายประกันสุขภาพทำให้ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้รับหลักประกันด้านสุขภาพแบบทั่วหน้า ในขณะที่การกำหนดความสัมพันธ์ขององค์กรต่าง ๆ ในสังคมก็เพื่อเป็นการคานอำนาจและการตรวจสอบซึ่งกันและกัน ทำให้ระบบโปร่งใสขึ้น การปฏิรูปช่วงหลังที่มุ่งเน้นการควบคุมรายจ่ายนั้นก็เป็นความพยายามในการควบคุมพฤติกรรมของผู้ให้บริการและโรงพยาบาลเป็นหลัก เพื่อควบคุมไม่ให้รายจ่ายด้านสุขภาพนั้นเพิ่มมากว่ารายได้ของประชาชน กล่าวโดยสรุปความสำเร็จของการปฏิรูประบบสุขภาพของเยอรมันนั้นเกิดจาก ปรัชญาและหลักการพื้นฐานของสังคม เป็นหลัก ในขณะที่บริบทด้านการเมือง ภาวะเศรษฐกิจ อิทธิพลของกลุ่มต่าง ๆ และภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพนั้นเป็นแรงผลักดันสำคัญของการปฏิรูป
ประชากรในเยอรมนีกระจายตัวอยู่ แตกต่างกันมากในแต่ละภูมิภาคนั่นคือประมาณหนึ่งในสามของประชากรได้แก่ประมาณ 25 ล้านคน ใช้ชีวิตอยู่ใน 82 เมืองใหญ่ ส่วนอีก 50.5 ล้านคนอยู่ในชุมชนและเมืองที่มีประชากรระหว่าง 2,000 ถึง 100,000 คน นอกจากนั้นอีกประมาณ 6.4 ล้านคน อาศัยอยู่ในย่านที่มีประชากรไม่เกิน 2,000 คน บริเวณผู้อพยพเข้าในเบอร์ลิน ซึ่งขยายตัวอย่างรวดเร็วตั้งแต่การรวมประเทศเยอรมนี มีประชากรมากกว่า 4.3 ล้านคน ในเขตอุตสาหกรรมริมแม่น้ำไรน์ และรัวร์ ที่ซึ่งเมืองต่าง ๆ มักเหลื่อมล้ำเข้าหากัน เพราะไม่มีเส้นขีดคั่นอย่างชัดเจนนั้นมีประชากรมากว่า 11 ล้านคน กล่าวคือ 1,100 คนต่อตารางกิโลเมตร
ภูมิภาคอันมีประชากรหนาแน่นดังกล่าวนี้แตกต่างจากอาณาบริเวณที่มีประชากรเบาบางมาก อาทิเช่น บริเวณอันกว้างใหญ่ของรัฐมาร์ค บรันเดนบวร์ก และเมคเคลนบวร์ก-ฟอร์พอมเฟิร์น
กล่าวโดยสรุปแล้ว นับได้ว่าเยอรมนีซึ่งมีประชากรหนาแน่นถึง 230 คนต่อตารางกิโลเมตร เป็นประเทศที่มีความหนาแน่นมากแห่งหนึ่งในยุโรป แต่ก็มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างบริเวณสหพันธ์ดั้งเดิม กับบริเวณอดีตสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมัน กล่าวคือในรัฐใหม่ของสหพันธ์ฯ และเบอร์ลินตะวันออกมีประชากรหนาแน่นถึง 140 คนต่อตารางกิโลเมตร ในขณะที่รัฐของสหพันธ์ฯ เดิม มีประชากรหนาแน่นถึง 267 คนต่อตารางกิโลเมตร
เชื้อชาติ เยอรมัน 91.5% ตุรกี 2.4% อื่น ๆ 6.1% (ประกอบไปด้วยชาวกรีก อิตาลี โปแลนด์ รัสเซีย เซิร์บและโคเอเชีย เป็นกลุ่มใหญ่) ภาษา ศาสนา คริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ 34% คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก 34% มุสลิม 3.7% ศาสนาอื่น ๆ แยกกระจัดกระจายออกไปและอื่น ๆ 28.3%
กีฬา ฟุตบอลเป็นกีฬาที่คนเยอรมันนิยมมากที่สุด เยอรมนีมีลีกการแข่งขันบุนเดิสลีกา ที่ได้รับความนิยมระดับโลก โดยมีสโมสรชั้นนำมากมายเช่น ไบเอิร์นมิวนิก, โบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ , ชัลเคอ 04 และไบเออร์ 04 เลเวอร์คูเซิน ทีมชาติชุดใหญ่ของเยอรมนี (Deutsche Fußballnationalmannschaft ) ประสบความสำเร็จสูงในการแข่งขันระดับทวีปและระดับโลก โดยพวกเขาใช้เวลาเพียง 50 ปีในการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก และฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ได้ถึง 3 สมัย ปัจจุบันเยอรมนีเป็นเจ้าของตำแหน่งชนะเลิศฟุตบอลโลก 4 สมัย โดยชนะเลิศครั้งล่าสุดใน ค.ศ. 2014 ณ ประเทศบราซิล
วรรณกรรม สถาปัตยกรรม ดนตรี ประเทศเยอรมันมีนักดนตรี คีตกวีทางดนตรี นักประพันธ์ดนตรี ที่มีชื่อเสียงระดับสากลมากมาย ไม่ว่าจะเป็นลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน , โยฮัน เซบัสทีอัน บัค , โยฮันเนิส บรามส์ , ริชชาร์ท วากเนอร์ , จอร์จ ฟริดริก แฮนเดิล , โรแบร์ท ชูมัน , เฟลิคส์ เม็นเดิลส์โซน , คาร์ล ออร์ฟ เป็นต้น
ปัจจุบันเยอรมนีเป็นตลาดดนตรีที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของยุโรป และอันดับ 4 ของโลก ดนตรีเยอรมันเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วง ศตวรรษที่ 20-21 อาทิเช่น วงสกอร์เปียนส์ กับ วงรัมสไตน์ วงเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันดีมากที่สุดในระดับโลก, โทคิโอโฮเทล เป็นวงป็อปร็อก ที่มีชื่อเสียงวงหนึ่งในเยอรมัน เป็นต้น
อาหารเยอรมัน อาหารเยอรมัน แตกต่างจากพื้นที่สู่พื้นที่ เช่น ในภาคใต้ของบาวาเรีย และ Swabia ร่วมกันสร้างวัฒนธรรมการปรุงอาหารตามแบบสวิสเซอร์แลนด์และออสเตรีย หมูและไก่เป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่นิยมบริโภค ในเยอรมนีหมูเป็นที่นิยมมากที่สุด ตลอดทุกภาคเนื้อมักจะรับประทานในรูปแบบไส้กรอก มากกว่า 1500 ชนิด ของไส้กรอก ที่ผลิตในประเทศเยอรมนี อาหารอินทรีย์ได้รับส่วนแบ่งตลาดประมาณ 3.0% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก
Schwarzwälder Kirschtorte เค้กแบล็คฟอเรสต์เป็นอาหารว่างที่ขึ้นชื่อของเยอรมัน
ไส้กรอกเยอรมัน หนึ่งในอาหารที่ขึ้นชื่อที่สุดของประเทศเยอรมนี
เบียร์ เครื่องดื่มขึ้นชื่อของเยอรมัน
ชาวเยอรมันมีคำพูดติดปากที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมในการรับประทานอาหารว่า: "รับประทานอาหารเช้าเช่นจักรพรรดิ กลางวันเช่นกษัตริย์ และอาหารเย็นเหมือนขอทาน" อาหารเช้ามักประกอบด้วยขนมปังก้อนเล็ก (Brötchen) ทาแยม หรือน้ำผึ้ง หรือทานกับเนื้อเย็นและชีส บางครั้งมีไข่ต้ม ธัญพืช หรือ Muesli กับนมหรือโยเกิร์ต กว่า 300 ชนิดของขนมปังมีจำหน่ายในร้านเบเกอรี่ทั่วประเทศ ผู้อพยพจากหลายประเทศมาสู่เยอรมนีได้นำอาหารนานาชาติมากมายมาเผยแพร่จนทำให้เกิดนิสัยการกินรายวัน เช่นอาหารอิตาเลียนพิซซา และพาสตา อาหารตุรกีและอาหรับชอบ Döner และ Falafel โดยเฉพาะในเมืองใหญ่นอกจากร้านอาหารพื้นเมืองแล้ว ยังมีร้านอาหารนานาชาติแพร่หลายไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารจีน กรีก อินเดีย ไทย ญี่ปุ่นและอาหารเอเชียอื่น ๆ ได้รับความนิยมในทศวรรษที่ผ่านมา
แม้ว่าไวน์จะเป็นที่นิยมในหลายประเทศ แต่ประเทศเยอรมนีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประจำชาติคือเบียร์ แม้คนเยอรมันจะบริโภคเบียร์ต่อคนจะลดลง แต่ปริมาณการบริโภคเบียร์ 127 ลิตรต่อปีต่อคนในเยอรมนีก็ยังคงเป็นตัวเลขสูงที่สุดในโลก ชนิดของเบียร์ในเยอรมันได้แก่ Alt, Bock, Dunkel, Kölsch, เลเกอร์, Malzbier, Pils และ Weizenbier จากการสำรวจ 18 ประเทศตะวันตกที่บริโภคเครื่องคิดเป็นต่อหัวมากที่สุด เยอรมนีอยู่ในอันดับ 14 สำหรับเครื่องดื่มทั่วไป ในขณะที่มาเป็นอันดับสามในการบริโภคน้ำผลไม้ นอกจากนั้น น้ำแร่อัดลมและ Schorle (ผสมกับน้ำผลไม้) ก็เป็นที่นิยมเช่นกันในเยอรมนี
เทศกาลสำคัญ เทศกาลประจำปีที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกได้แก่ อ็อกโทเบอร์เฟสต์ (Oktoberfest) ณ เมืองมิวนิก โดยจัดขึ้นเป็นประจำในช่วงปลายเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคมของทุกปี โดยชาวเยอรมันและนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกจะมาร่วมเฉลิมฉลองด้วยการดื่มเบียร์และอาหารเมนูชั้นนำ เช่น ขาหมู หมูย่าง และไส้กรอก และมีการเต้นรำ ด้วยความสนุกสนาน
วันหยุด เบอร์ลิน เป็นเมืองหลวงเพียงแห่งเดียวตามรัฐธรรมนูญและเป็นที่ตั้งรัฐบาลโดยนิตินัย แต่เดิมเมืองหลวงชั่วคราวของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีคือ บ็อน ซึ่งมีสถานะพิเศษเป็น "เมืองสหพันธ์" (Bundesstadt ) และเป็นที่ตั้งหลักของกระทรวงหกแห่ง กระทรวงทุกแห่งมีสำนักงานอยู่ในเมืองทั้งสองแห่ง 30 ตุลาคม 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน . Evangelical Church of Germany. Retrieved 6 December 2016. . คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก เมื่อ 16 January 2018. . International Monetary Fund . April 2017. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก เมื่อ 8 February 2018. สืบค้นเมื่อ1 October 2017 . . Eurostat Data Explorer. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก เมื่อ 4 March 2016. สืบค้นเมื่อ25 November 2017 . (PDF) . United Nations Development Programme. 2016. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก (PDF) เมื่อ 22 March 2017. สืบค้นเมื่อ23 March 2017 . . Bloomberg. 20 May 2014. สืบค้นเมื่อ29 August 2014 . . Encyclopedia Britannica (ภาษาอังกฤษ). . germanculture.com.ua . www.german-way.com .Missing or empty |title=
(help ) Editors, History com. . HISTORY (ภาษาอังกฤษ). CS1 maint: extra text: authors list (link ) . Encyclopedia Britannica (ภาษาอังกฤษ). . www.nationsonline.org . . European Commission - European Commission (ภาษาอังกฤษ). Entwicklungspolitik, Deutsches Institut für. . www.die-gdi.de (ภาษาเยอรมัน). giz. . www.giz.de (ภาษาอังกฤษ). . BBC News (ภาษาอังกฤษ). 2018-09-17. สืบค้นเมื่อ2021-06-25 . . data.worldbank.org . Wagner, G. A; Krbetschek, M; Degering, D; Bahain, J.-J; Shao, Q; Falgueres, C; Voinchet, P; Dolo, J.-M; Garcia, T; Rightmire, G. P (27 August 2010). . PNAS . 107 (46): 19726–19730. Bibcode :. doi :. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก เมื่อ 1 January 2015. สืบค้นเมื่อ27 August 2010 . . archive.archaeology.org . 3 May 1997. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก เมื่อ 8 February 2013. สืบค้นเมื่อ27 August 2010 . . BBC. 25 May 2012. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก เมื่อ 3 September 2017. สืบค้นเมื่อ25 May 2012 . . The Art Newspaper . 31 January 2013. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก เมื่อ 15 February 2015. สืบค้นเมื่อ31 January 2013 . Claster, Jill N. (1982). Medieval Experience: 300–1400 . New York University Press. p. 35. ISBN 0-8147-1381-5 . Bowman, Alan K.; Garnsey, Peter; Cameron, Averil (2005). The crisis of empire, A.D. 193–337 . The Cambridge Ancient History. 12 . Cambridge University Press. p. 442. ISBN 0-521-30199-8 . Fulbrook 1991, p. 11. . Sky HISTORY TV channel (ภาษาอังกฤษ). . Encyclopedia Britannica (ภาษาอังกฤษ). maw/dpa (11 March 2008). . Der Spiegel . คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก เมื่อ 19 November 2012. สืบค้นเมื่อ30 October 2011 . . U.S. Department of State. 10 November 2010. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก เมื่อ 24 March 2011. สืบค้นเมื่อ26 March 2011 . . คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก เมื่อ 26 February 2017. สืบค้นเมื่อ8 February 2017 . 2015-10-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน , Lloyd Reeds Map Collection, McMaster University Library. . CIA World Factbook . Central Intelligence Agency. สืบค้นเมื่อ30 August 2014 . Strohm, Kathrin (May 2010). (PDF) . Agri benchmark. สืบค้นเมื่อ14 April 2011 . Bekker, Henk (2005). Adventure Guide Germany . Hunter. p. 14. ISBN 978-1-58843-503-3 . Marcel Cleene; Marie Claire Lejeune (2002). . Man & Culture. The Cornflower was once the floral emblem of Germany (hence the German common name Kaiserblume). (ภาษาเยอรมัน). Statistisches Bundesamt und statistische Landesämter. December 2015. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก เมื่อ 6 July 2017. สืบค้นเมื่อ3 August 2017 . (ภาษาอังกฤษ). Statistische Ämter des Bundes und der Länder. 5 November 2016. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก เมื่อ 5 November 2016. สืบค้นเมื่อ6 July 2016 . . Stockholm International Peace Research Institute. September 2011. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก เมื่อ 1 May 2012. สืบค้นเมื่อ7 April 2012 . . IHS Jane's 360 . คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก เมื่อ 5 July 2015. สืบค้นเมื่อ20 January 2016 . (ภาษาเยอรมัน). บุนเดิสแวร์ . 10 December 2015. สืบค้นเมื่อ2 January 2016 . (ภาษาเยอรมัน). บุนเดิสแวร์ . สืบค้นเมื่อ5 June 2011 . (ภาษาเยอรมัน). บุนเดิสแวร์ . สืบค้นเมื่อ14 April 2011 . . www.sipri.org . Stockholm International Peace Research Institute. สืบค้นเมื่อ18 March 2015 . (PDF) (ภาษาเยอรมัน). Bundesministerium der Justiz. สืบค้นเมื่อ19 March 2011 . (ภาษาเยอรมัน). บุนเดิสแวร์ . สืบค้นเมื่อ11 January 2015 . Connolly, Kate (22 November 2010). . The Guardian . สืบค้นเมื่อ7 April 2011 . Pidd, Helen (16 March 2011). . The Guardian . สืบค้นเมื่อ7 April 2011 . (PDF) . International Transport Forum . 2012. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก (PDF) เมื่อ 14 July 2014. สืบค้นเมื่อ15 March 2014 . . World Bank. 2014. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก เมื่อ 1 January 2015. สืบค้นเมื่อ7 July 2014 . (Press release) (ภาษาเยอรมัน). ADAC . June 2010. สืบค้นเมื่อ19 March 2011 . (ภาษาเยอรมัน). ด็อยท์เชอบาน . คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก เมื่อ 9 August 2007. สืบค้นเมื่อ27 March 2011 . (PDF) . p. 2. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก (PDF) เมื่อ 2016-03-10. . Air Broker Center International. สืบค้นเมื่อ16 April 2011 . . Port of Hamburg. คลังข้อมูลเก่า เก็บจาก เมื่อ 2015-05-05. สืบค้นเมื่อ6 May 2015 . . Study in Germany for Free (ภาษาอังกฤษ). 2013-01-08. . www.make-it-in-germany.com (ภาษาอังกฤษ). . WENR (ภาษาอังกฤษ). 2021-01-28. . NCEE (ภาษาอังกฤษ). . Encyclopedia Britannica (ภาษาอังกฤษ). . Policy in Practice (ภาษาอังกฤษ). 2015-04-14. . www.pitt.edu . . data.worldbank.org . neoprimesport. (ภาษาอังกฤษ). (ภาษาอังกฤษ). 2014-12-27. www.dfb.de . no-break space character in |title=
at position 15 (help ) . worldfootball.net (ภาษาอังกฤษ). Welle (www.dw.com), Deutsche. . DW.COM (ภาษาอังกฤษ). (PDF) (ภาษาอังกฤษ). . expatrio.com (ภาษาอังกฤษ). . www.meatsandsausages.com . (ภาษาอังกฤษ). (ภาษาอังกฤษ). . www.brot-fuer-die-welt.de (ภาษาอังกฤษ). . www.beermerchants.com . (ภาษาอังกฤษ). . Encyclopedia Britannica (ภาษาอังกฤษ).